วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

(หุ้น) เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องหุ้นไปกับ ตำนานหิ่งห้อย...จาก KafaakBlog-นานาสาระจากนายกาฝาก ☆ตำนานหิ่งห้อย บทที่ 1 เรียนรู้เรื่องโบรกเกอร์

บทความเรื่องการลงทุนหุ้น...จาก KafaakBlog-นานาสาระจากนายกาฝาก



ตำนานหิ่งห้อย บทที่ 1 เรียนรู้เรื่องโบรกเกอร์

Image courtesy of worradmu / FreeDigitalPhotos.net

มีคนถามผมมาว่า ผมได้ค่าขนมจากการทดลองใช้ Streaming for Android มากขนาดเปิดพอร์ตได้เลยเหรอ … ต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า การเปิดพอร์ตนั้นไม่ได้ต้องใช้เงินมากอย่างที่คิดนะครับ สอบถามเพื่อนๆ ของผม เขาแนะนำว่าเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แบบ Cash Balance เนี่ย มีเงินซัก 5,000 บาท ก็เปิดพอร์ตได้แล้ว … ใช่ครับ ผมได้ค่าขนมสำหรับงานนี้มา 5,000 บาทนั่นแหละ (แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้ค่าขนมมาหรอกนะ) … และเพื่อไม่ให้ตำนานหิ่งห้อยเงียบหายไป ผมก็เลยถือโอกาสไปหาทางเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ก่อนล่ะครับ


ก่อนอื่นต้องรู้จักเลือกโบรกเกอร์ก่อน … ว่าแต่ โบรกเกอร์คืออะไร(วะ)?!?

คือ ในฐานะไอทีต๊อกต๋อย ผมนี่โคตรโง่เรื่องพวกนี้เลยครับ ดังนั้น ก่อนจะเป็นหิ่งห้อย ก็ต้องทำการบ้านเยอะหน่อย … แรกสุดเลย ต้องรู้จักกับคำว่าโบรกเกอร์ก่อน เพราะเขาคือคนที่เราจะต้องติดต่ออ่ะ (เพื่อนๆ ผมชอบพูดประจำ ต้องไปเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ก่อน อะไรแบบนี้)
Thailand Securities Institute (TSI) เขาให้คำจำกัดความของโบรกเกอร์เอาไว้ว่างี้ครับ
บริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ (Broker) คือ บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ได้ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และเข้าเป็น  “บริษัทสมาชิก” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์เข้าสู่ระบบซื้อขาย ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้โดยตรง
อ้อ … ที่แท้เวลาเราซื้อขายหุ้น เราไม่ได้ทำเองนะครับ เราจะทำผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งจะให้บริการเราตั้งแต่เริ่มยันจบ และยังให้คำแนะนำ คำปรึกษา ช่วยเราแก้ปัญหาอีกด้วย ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์ที่ดี จึงเป็นเรื่องสำคัญครับ
ที่เว็บไซต์ของ Thailand Securities Institute นั้นมีคำแนะนำเรื่องคุณสมบัติของโบรกเกอร์ที่ดี และเจ้าหน้าที่การตลาดที่ดีอีกด้วย แนะนำว่าไปอ่านเพิ่มเติม เพื่อหาความรู้เอาไว้ครับ

ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหุ้น ไม่ได้มีแค่ค่าหุ้นนะจ๊ะ

จริงๆ ควรจะพูดถึงเรื่องนี้ทีหลัง ตอนที่ซื้อขายหุ้นจริงๆ แล้ว … แต่เอาเหอะ ไว้ค่อยไปย้ำอีกทีก็ได้ … ที่ต้องเอามาพูดถึงก่อนเลยก็เพราะ มันเกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับการเลือกโบรกเกอร์ด้วยน่ะครับ นั่นก็เพราะตามที่ผมได้จั่วหัวไว้นั่นแหละ … ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหุ้น มันไม่ได้มีแค่ค่าหุ้นนะครับ มันมีสิ่งที่เรียกว่า ค่าคอมมิชชั่น ด้วย ซึ่งโบรกเกอร์แต่ละรายก็คิดค่าคอมมิชชั่นแตกต่างกันไป บางรายมีคิดขั้นต่ำเอาไว้ด้วยนะครับ
ยกตัวอย่างเช่น Maybank Kim Eng นี่ก็แล้วกัน


อัตราค่านายหน้า การซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป ของ Maybank Kim Eng
 ที่มาของข้อมูล: Maybank Kim Eng

อย่างในฐานะไอทีต๊อกต๋อยแบบผม คงซื้อต่ำกว่า 5 ล้านบาทแน่ๆ (ซื้อหลักหมื่นบาทได้ก็บุญแล้วครับผม … ตั้งใจเปิดพอร์ต 5,000 อ่ะ) ฉะนั้นผมต้องเสียอะไรบ้าง? ก็มี อัตราค่านายหน้า (ค่าคอมมิชชั่นนั่นแล), SET Trading Fee, TSD Clearing Fee และ ค่าธรรมเนียมการกำกับดูแล … ถ้าผมกะจะเปิด Cash Balance ละก็ ผมก็ต้องโดนเรียกเก็บเงิน 0.1578% ของเงินที่ผมทำการซื้อขายไป
นั่นหมายความว่า สมมติผมซื้อหุ้นอะไรซักตัวตอนนี้ หุ้นละ 5 บาท เป็นจำนวน 5,000 หุ้น ก็คิดเป็นเงิน 25,000 บาท ผมก็จะต้องโดนเรียกเก็บ 0.1578% เป็นเงิน 39.45 บาทครับ … แต่ปัญหาก็คือ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ (รวมถึง Maybank Kim Eng) เขาจะคิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำต่อวันเอาไว้ที่ 50 บาท นั่นหมายความว่า ผมจะต้องถูกเรียกเก็บเป็นเงิน 50 บาทแทนครับ ดังนั้นถ้าเกิดจะซื้อขายให้คุ้มค่าเงินที่ถูกเรียกเก็บจริงๆ ก็จะต้องซื้อขายหุ้นเป็นเงิน 31,686 บาทครับ
แต่ก็มีโบรกเกอร์บางราย ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมขั้นต่ำนะครับ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS เป็นต้น


โปรโมชั่นของ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

ดูๆ ไปแล้ว โบรกเกอร์ก็เหมือนกับบริษัทบัตรเครดิตอ่ะ … มีหลายแบรนด์ให้เลือก แต่ละแบรนด์ก็ให้บริการพื้นฐานคล้ายๆ กัน แต่ว่าจะมีโปรโมชั่นแตกต่างกันนิดหน่อย เพื่อเรียกลูกค้า เช่น สะสมแต้ม ฟรีค่าธรรมเนียม อะไรแบบเนี้ย (ในกรณีของบัตรเครดิตนะ) … เพียงแต่ของพรีเมี่ยมที่แถมนี่มันเงื่อนไขโหดดีนะ … แค่ Gift Voucher 500 บาทนี่ ต้องเทรดหุ้นเป็นเงินตั้งล้านในเวลา 3 เดือนแน่ (หูยยยยยย)

แล้วเลือกโบรกเกอร์ไหนดี?!?

เฮ้ย! มาถามอะไรผม … ผมเป็นโคตรมือใหม่ในเรื่องนี้ อยากเรียกตัวเองว่าแมงเม่าด้วยซ้ำ เพียงแต่ทาง Settrade ไม่อยากให้ผมเรียกตัวเองแบบนั้น มันแรงเกินไป เดี๋ยวคนจะไม่กล้าเข้ามาเล่นหุ้น (นี่คนจะไม่กล้าเข้ามาเล่นหุ้นเพราะผมบ่นว่าตัวเองเป็นแมงเม่าเลยเรอะ?!?) … ผมเป็นแค่หิ่งห้อยตัวน้อยๆ ใต้แสงจันทร์เท่านั้นครับ ดังนั้น คุณควรจะไปถามเอาจากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า ถ้านึกไม่ออกว่าที่ไหน ก็ไปที่ Google แล้วค้นหาว่า “เลือกโบรกเกอร์ไหนดี” ก็จะได้ข้อมูลมาเพียบเลย


เลือกโบรเกอร์ไหนดี … Google มีคำตอบไหม?!?

ถ้าจะให้ตีวงให้แคบหน่อย … ลองดูเว็บ Pantip.com โต๊ะสินธรสิครับ เด็ดขาดดี ไม่ต้องซ้ำ (ไม่ใช่ก้านคอ!! และไม่ใช่มวยไทย!!!) … แต่เท่าที่ผมลองหาข้อมูลมา หากคิดจะเริ่มต้นเป็นหิ่งห้อยน้อยใต้แสงจันทร์แบบผม เลือกโบรกเกอร์ที่ไม่คิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำจะดี เพราะเงินจะไม่จมไปกับค่านายหน้ามาก (ลองคิดนะ ซื้อขายทีละไม่กี่พัน โดนค่านายหน้าไปทีละ 50 บาทอ่ะ)

ผมได้ตัวเลือกของผมแล้ว … บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

โอเค! โดยส่วนตัว ผมตัด(สิน)ใจได้แล้วว่าจะเลือกโบรกเกอร์ที่ไหน … ผมมีบัญชีธนาคารกรุงเทพอยู่ และเปิด iBanking ไว้ด้วย ซึ่งมันมีแท็บ Investment ให้ผมทำเรื่องของเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ได้เลย ก็ถือว่าโอเคนะ … จริงๆ ผมมีตัวเลือกสำรองไว้ นั่นคือ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เพราะมีสาขาที่อยู่ใกล้บ้านด้วย สะดวกดี … แต่ก็ นะ … ปกติไอ้พวกนี้มันปิดก่อนที่ผมจะเลิกงานซะอีก การมีสาขาใกล้บ้านก็อาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับผมมากมายเท่าไหร่
เอาล่ะ … เตรียมตัวทำเรื่องขอเปิดบัญชีได้แล้ว

CREDIT นายกาฝาก(http://www.kafaak.com)
http://www.kafaak.com/2012/10/04/the-legend-of-firefly-01


______________________

มาต่อกันกับตอนที่2.....

ตำนานหิ่งห้อย บทที่ 2 บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ



หายหน้าหายคาไปซะหลายเพลา แต่ผมไม่ได้ถอดใจเรื่อง “ตำนานหิ่งห้อย” นะครับ ใครที่ติดตามผมทาง Twitter คงทราบแล้วว่าตำนานได้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อผมทำการเปิดบัญชีแบบ Cash Balance เป็นที่เรียบร้อยแล้ว … แต่ผมจะไม่ขอข้ามขั้นตอนไปเล่าเรื่องปัจจุบัน แต่อยากจะขอเล่าเรื่องราวในอดีตก่อนว่า ในการเปิดบัญชีของผมนั้น เป็นยังไงมายังไงกันบ้าง ใน ตำนานหิ่งห้อย บทที่ 1 เรียนรู้เรื่องโบรกเกอร์ ผมได้เล่าไปแล้วว่าการเลือกโบรกเกอร์เป็นเรื่องสำคัญ และหากเลือกแบบที่ไม่มีขั้นต่ำเรื่องค่านายหน้า (หรือที่เรียกเท่ห์ๆ ว่า Commission) ได้ก็จะดี



เผอิญผมโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนแรกผมเลือกที่จะเปิดบัญชีกับทางบัวหลวง แต่ปรากฏว่า การกรอกข้อมูลบนเว็บมันทำเอาผมถอดใจไม่น้อย คือ ต้องกรอกเยอะมาก และบางอย่างอ่านแล้วก็มึนๆ ไม่น้อยเลย สุดท้าย ผมเลยฝาก @KTBNetbank เขาช่วยติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ในสังกัดของธนาคารกรุงไทยให้หน่อย (ซึ่งผมมาทราบภายหลังว่าคือ KT-ZMICO)
คุณพลอย ที่เป็นมาร์ (คำว่า “มาร์” มาจากคำว่า มาร์เก็ตติ้ง หรือ Marketting นี่แหละครับ หมายถึงตัวแทนเจ้าหน้าที่ขายที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือเราในการซื้อขาย และให้ข้อมูลและคำแนะนำด้วย) ที่ติดต่อกับผมเรื่องเปิดบัญชี ติดตามงานดีมากครับ ติดต่อวันนั้น ส่งเอกสารที่ผมต้องกรอกมาให้เลย (และไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมว่าเอกสารที่ผมต้องกรอกให้ KT-ZMICO นี่ มันกรอกง่ายกว่าของบัวหลวงเยอะเลย) แต่ผมใช้เวลาทำใจประมาณสัปดาห์นึง (จริงๆ คือยุ่งมากจนไม่มีเวลากรอก) ก่อนที่จะส่งกลับไปให้คุณพลอยเขา
เผื่อใครไม่ทราบ และอยากจะรู้ … การเปิดบัญชี Cash Balance เขาต้องใช้เอกสารดังนี้ครับ


เอกสารที่ต้องเซ็น และต้องเตรียม … KT-ZMICO ลิสต์มาให้เรียบร้อย

  • คำขอเปิดบัญชี และ สัญญาแต่งตั้งตัวแทนนายหน้า … ที่ KT-ZMICO นี่จัดมาเป็นเล่มเดียวกันเลย ในนี้ต้องกรอกและเซ็นหลายจุดอยู่
  • สำเนาบัตรประชาชน 2 ชุด
  • สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ชุด (ใบหน้าของเล่ม และ หน้าที่มีชื่อของเรา)
  • สำเนาสมุดเงินฝากหน้าแรก และรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 3 เดือน หรือสลิปเงินเดือน 3 เดือน 1 ชุด … อันนี้ไม่ต้องซีเรียส เพราะเราเปิดบัญชีแบบ Cash Balance ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องยอดเงินที่เหลือ
  • ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท (ได้ข่าวว่าผมลืมให้เขาไป … ถ้าคุณพลอยออกให้ผมไปก่อน สามารถมาทวงผมได้นะครับ … อันนี้ผมขอโทษจริงๆ TT-TT)
  • เผื่อใครทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต (มันประหยัดค่านายหน้ามากกว่า) ก็จะมี e-Dividend อีกชุดนึง
ก็ประมาณนี้แหละพี่น้อง
ทาง KT-ZMICO จะมีการประเมินตัวเราในฐานะผู้ลงทุนด้วย ว่าเราอายุเท่าไหร่ อยากลงทุนแบบไหน รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน มีความรู้เรื่องการลงทุนแค่ไหน … ตรงนี้เพื่อที่จะเป็นข้อมูลให้กับทางมาร์เขาได้ทราบ จะได้ให้คำแนะนำเรื่องการลงทุนกับเราได้ถูก … ผมว่าโบรกเกอร์อื่นๆ ก็น่าจะมีอะไรคล้ายๆ กันนี้เหมือนๆ กันครับ

บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในแบบต่างๆ
ในตอนต้นผมบอกแล้วว่าผมเปิดบัญชีแบบ Cash Balance ไป … ถ้าท่านผู้อ่านเป็นคนช่างสังเกต ก็จะต้องตั้งคำถามแน่ๆ ว่า แล้วบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (ซึ่งจากนี้ผมจะขอเรียกสั้นๆ ว่า บัญชีซื้อขายหุ้น หรือ บัญชี เฉยๆ) มันมีแบบไหนบ้าง? … คำตอบคือ มันมีด้วยกัน 3 แบบครับ และก็เหมาะสำหรับผู้ลงทุน (หมายถึง หิ่งห้อย อย่างพวกเราๆ นี่แหละ) ที่แตกต่างกันออกไป โดยมีดังนี้
  • บัญชีเงินสด เป็นบัญชีสำหรับพวกที่ต้องการซื้อขายหุ้นด้วยเงินสดเต็มจำนวน บัญชีแบบนี้ เราต้องวางหลักประกันจำนวน 15% ของวงเงินในการซื้อขายหุ้นเอาไว้ (หลักประกันจะเป็นเงินสด หรือ หลักทรัพย์ก็ได้ … ถ้าเป็นเงินสด เราจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากด้วยนะ) … แบบนี้เหมาะกับพวกที่ไม่คิดจะเอาเงินไปจมในบัญชีซื้อขายหุ้นเยอะๆ และมั่นใจว่าตัวเองมีปัญญาชำระหนี้ได้ดีพอ … บัญชีประเภทนี้ โบรกเกอร์จะตรวจสอบพวกสลิปเงินเดือนและบัญชีเงินฝากของเราเต็มที่ เพราะโบรกเกอร์เองต้องรับความเสี่ยงหากเราชำระหนี้ให้ไม่ได้
  • บัญชี Cash Balance เป็นบัญชีที่ผมเปิดนี่แหละ บัญชีแบบนี้เราจะต้องเอาเงินที่จะใช้ซื้อขายไปไว้ที่โบรกเกอร์แบบเต็ม 100% เลย และจะซื้อหุ้นได้แค่ตามจำนวนเงินที่ฝากไว้กับโบรกเกอร์ครับ แน่นอน เงินที่ฝากไว้กับโบรกเกอร์แบบนี้ก็ได้ดอกเบี้ยเงินฝากครับ ถ้าเราอยากได้เงินคืน ก็ถอนเงินคืนมาได้ คล้ายๆ ฝากธนาคาร … บัญชีประเภทนี้ โบรกเกอร์จะไม่ซีเรียสเรื่องสลิปเงินเดือนหรือบัญชีเงินฝากของเรามากนัก เพราะโบรกเกอร์ไม่มีความเสี่ยงใดๆ เลย … ข้อจำกัดของบัญชีประเภทนี้คือ ไม่มีเงินก็ซื้อหุ้นไม่ได้ และการโอนเงินไปยังโบรกเกอร์ ต้องใช้เวลาดำเนินการพอสมควร เช่น โอนเช้าซื้อได้ตอนบ่าย โอนตอนบ่ายต้องรอวันถัดไป ซึ่งหากบริหารไม่ดี เราอาจจะพลาดโอกาสซื้อหุ้นดีๆ ไปได้
  • บัญชี Credit Balance หรือ บัญชี Margin เป็นแนว กู้เพื่อซื้อหุ้น เป็นแนวที่ผมไม่แนะนำให้มือใหม่เปิดอย่างแน่นอน (และผมก็ว่า หากคุณไม่เจ๋งจริง โบรกเกอร์ก็คงไม่ยอมให้คุณเปิดเช่นกัน) บัญชีประเภทนี้ เราต้องหาเงินสดหรือหลักทรัพย์มาเป็นหลักประกันการชำระหนี้กับโบรกเกอร์ก่อน จะซื้อขายหุ้น โดยโบรกเกอร์จะกำหนดสัดส่วนเองว่าต้องวางกี่เปอร์เซ็นต์ เช่น หากกำหนดว่า 50% ก็คือ จะซื้อหุ้น 10 บาท เราต้องออก 5 บาท โบรกเกอร์อีก 5 บาท (กู้เขาซื้อไง) … กรณีแบบนี้ เหมาะสำหรับพวกที่อยากลงทุนซื้อหุ้นเยอะๆ แต่ไม่มีเงิน … ปัญหาของบัญชีประเภทนี้คือ โบรกเกอร์เขาจะประเมินมูลค่าของหลักประกันทุกวัน หากมูลค่าลด เราต้องหาหลักทรัพย์มาเป็นหลักประกันเพิ่ม หากเราเพิ่มหลักประกันไม่ได้ เราอาจถูกบังคับให้ขายหลักประกัน … ถึงได้บอกไง ไม่เจ๋งจริง ไม่ได้เปิดร้อก บัญชีประเภทนี้
มือใหม่ เปิด Cash Balance เหอะครับ มีเงินฝากโบรกเกอร์ 5,000 บาท ก็ซื้อขายหุ้นได้แล้ว แถมถ้าเราไม่ซื้อขายหุ้น เงินที่ฝากไว้ก็ได้ดอกเบี้ยอีก (แต่ได้ดอกเบี้ยแบบกระจ้อยร่อยมากมาย)


เอกสารผ่านเรียบร้อย ได้อีเมล์มายืนยันครับ

ผมเปิดกับ KT-ZMICO นี่ เขามีขั้นต่ำค่านายหน้าเหมือน Maybank Kimeng คือ 50 บาทต่อวัน แต่เนื่องจากผมเป็นพวกที่ตั้งใจว่าจะลงทุนระยะยาว (คือ ซื้อหุ้นพื้นฐานดี เน้นกินปันผล และ ถือเก็บไว้นานๆ) ก็เลยไม่ซีเรียสครับ เดือนนึงจะเทรดซักวันสองวัน เสียค่านายหน้า 50-100 บาท ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่หากใครคิดจะกินกำไรระยะสั้น และเทรดแต่ละวันไม่ถึง 3 หมื่นบาท ไปหาพวกโบรกเกอร์ที่เขาไม่มีค่านายหน้าขั้นต่ำนะครับ
วันนี้เอาพอหอมปากหอมคอแค่นี้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาต่อกันในตอนหน้าครับ จะพาไปรู้จักโปรแกรมสำหรับดูหุ้น (และซื้อขายหุ้น) ในแบบต่างๆ โดยเฉพาะในโลกยุค Mobile Device ครองเมืองแบบนี้ ก็ต้องดูหุ้น ซื้อขายหุ้นผ่านมือถือสินะ

CREDIT นายกาฝาก(http://www.kafaak.com)

----------------------

ตำนานหิ่งห้อย บทที่ 3 สิ่งน่ารู้ก่อนทำการซื้อขาย (1)



Image courtesy of Kookkai_nak / FreeDigitalPhotos.net

ผมเป็นพวกใจร้อนครับ (ใครริจะเป็นแมงเม่า … เอ้ย! หิ่งห้อย … ไม่ควรเอาอย่างผมนะ) ดังนั้น เมื่อเปิดพอร์ตได้ปุ๊บ ผมก็จัดการโอนเงิน แล้วเตรียมพร้อมเล่นหุ้นในวันถัดไปเลย … อย่างที่บอก ผมเปิดเป็นบัญชีแบบ Cash Balance ไว้ เวลาจะซื้อหุ้นทีนึง ต้องโอนเงินไปที่บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผมเปิดไว้กับโบรกเกอร์ก่อน (ใครลืมไปแล้วว่าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์มีแบบไหนบ้าง กลับไปอ่านตอนที่สองไป ชิ่วๆ) … ตอนแรกผมว่าผมจะมาพูดถึงเรื่องโปรแกรมซื้อขายหุ้น แต่ไปๆ มาๆ ผมว่า ผมเล่าข้อมูลพื้นฐานที่เหล่าหิ่งห้อยอย่างเราๆ ควรทราบเอาไว้ก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งใจร้อนแบบผมเลย (ผมใจร้อนเพราะต้องรีบหาข้อมูลและประสบการณ์มาเขียนเล่าให้พวกท่านอ่านไง)



เรียนรู้ศัพท์ก่อน

ก่อนอื่น ขอย้ำอีกทีก่อน ว่าต่อจากนี้ หากผมพูดถึง “โบรก” ผมหมายถึง “โบรกเกอร์” นะครับ ส่วน “มาร์” หมายถึง “มาร์เก็ตติ้ง” หรือเจ้าหน้าที่ตัวแทนที่ทำหน้าที่ซื้อขายหลักทรัพย์แทนตัวท่านผู้อ่าน … หลักๆ แล้ว เราสามารถเลือกที่จะทำการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านทางมาร์ก็ได้ แต่ใน “ตำนานหิ่งห้อย” ของเรานั้น เราจะต้องเปล่งแสงของเราเองได้ ดังนั้น ผมจึงขอเน้นการซื้อขายหุ้นผ่านระบบออนไลน์ด้วยช่องทางต่างๆ นะครับ
จากนี้ ผมจะพยายามแนะนำศัพท์ใหม่ๆ ที่ผมคิดว่าเป็นศัพท์ใหม่ และจะได้ใช้กับ ตำนานหิ่งห้อย ในแต่ละบท … แต่ต้องออกตัวก่อนว่า ผมก็เพิ่งเป็นหิ่งห้อยหมาดๆ (แค่อาจจะเป็นก่อนพวกท่าน) ดังนั้น ต้องขออภัยหากผิดพลาดบ้างอะไรบ้าง ยินดีน้อมรับคำชี้แนะเสมอนะครับ

บัญชีแบบ Cash Balance ต้องโอนเงินก่อนถึงจะซื้อได้นะ

เรื่องการโอนเงินนั้น ขั้นตอนพื้นฐานที่เป็นเหมือนกันทุกโบรกเกอร์ก็คือ โอนเงินไปยังบัญชีที่กำหนดไว้ โบรกเกอร์มักจะมีหลายๆ ธนาคารให้เลือก เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องโดนเสียค่าธรรมเนียมในการโอน เผื่อเรามีธนาคารเดียวกัน เราก็ทำเรื่องโอนง่าย อาจจะโอนผ่าน Internet Banking ก็ได้ สะดวกดี (ผมก็เลือกโอนผ่าน Internet Banking เพราะจะได้ทำได้จากทุกๆ ที่ที่ต้องการ) … แต่ใครจะเลือกไปโอนที่เคาน์เตอร์ธนาคารก็ได้ ถ้าฟิตพอ (ว่างงานเหรอครับพี่น้องครับ?!?)


บัญชีสำหรับโอนเงินเข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ KT-ZMICO

ไม่ต้องห่วงครับ ข้อมูลเกี่ยวกับการโอนเงินนั้น เปิดพอร์ตปุ๊บ มาร์เขาก็จะส่งรายละเอียดมาให้อยู่แล้ว ไม่งั้นมันก็จะมีให้อยู่บนเว็บของโบรกนั่นแหละ และหากหาไม่เจอ ก็โทรหามาร์เลยครับ ให้เขาช่วยส่งข้อมูลมาให้
แต่จำเอาไว้เสมอ เมื่อโอนเสร็จแล้ว ต้องแจ้งให้มาร์เขาทราบด้วยนะครับ เพราะเขามีขั้นตอนที่ต้องไปดำเนินการต่อ เพื่อให้เงินที่เราโอนไปนั้นไปโผล่ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของเรา … วิธีการแจ้ง บางโบรกก็ให้ทำผ่านอินเทอร์เน็ตได้ อย่างเช่นที่ KT-ZMICO นี่เขาก็มี Cash Deposit Notification ให้เรากรอกครับ เลือกว่าเราโอนแบบไหน ผ่านทางเคาน์เตอร์ธนาคาร, ตู้ ATM หรือผ่านอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง … เวลาโอนเงิน ต้องเก็บรายละเอียดเอาไว้ให้ครบถ้วนนะครับ โอนผ่านตู้ ATM เก็บสลิปมาด้วย ต้องใช้ข้อมูลในนั้นในการกรอกนะครับ (อย่าไปนึกว่ามันจะเหมือนตอนซื้อของผ่านเว็บ ที่แบบ โอนเงินแล้วโอนเป็นเศษสตางค์อะไรแบบนั้น)


ตัวอย่าง Cash Deposit Notification ของ KT-ZMICO

แต่วิธีที่เร็ว แนะนำว่าให้โทรบอกมาร์ครับ เขาช่วยเร่งกระบวนการให้ได้ หากเราขอให้ช่วยเร่งให้ … เพราะปกติโบรกเขาจะประกาศเอาไว้ว่า โอนก่อนกี่โมง เงินพร้อมจะใช้ซื้อหุ้นเมื่อไหร่ เช่น โอนก่อนเที่ยง พร้อมซื้อตอนบ่าย โอนตอนบ่าย นู่นเลย รอพรุ่งนี้เช้า เป็นต้น … แต่ผมไม่แนะนำให้ทำบ่อยๆ นะครับ เคารพในกติกาของโบรกบ้างอะไรบ้าง ฝึกฝนให้ตัวเองมีวินัย อย่าไปทำให้มาร์เขาเครียด (อาชีพเขาก็เครียดจะตายอยู่แล้ว)
ผมมีรุ่นน้องคนนึงเป็นมาร์ … น้องแกก็อายุน้อยกว่าผมตั้งหลายปี แต่ผมหายไปหมดแล้ว น่าสงสาร … แต่ก็ไม่ใช่มาร์ทุกคนจะประสบกับชะตาแบบนี้อะนะ

โอเค เงินพร้อมแล้วล่ะพี่น้อง ตอนนี้เราก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า Buying Limit อยู่นะครับ มันคือยอดเงินที่เราสามารถนำไปใช้ซื้อหุ้นได้ … แต่ อ๊ะๆ บอกก่อนว่า สมมติเราโอนเงินไป 10,000 บาท ยอด Buying Limit มันอาจจะไม่เต็มหมื่นครับ เพราะมันจะต้องหักค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ออกก่อนครับ ดังนั้นดูให้ดีๆ ว่ายอดเงินจริงๆ เรามีเท่าไหร่กันแน่


ฺBuying Limit คือ ยอดเงินที่เราสามารถใช้ซื้อหุ้นได้

รู้จักเวลาซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ก่อน

ตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่ 7-11 นะครับ ไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมง แต่ว่าเขามีเวลาเปิดปิดชัดเจน และในช่วงวันก็มีแบ่งแยกย่อยลงไปอีกตามรูปด้านล่างเลย จะเห็นว่า หลักๆ มันคือ เริ่มเปิดทำการซื้อขายได้ตั้งแต่ 09:30  - 17:00 ของแต่ละวัน แต่จริงๆ แล้ว มันมีรายละเอียดเยอะมาก (อ่านต่อไป)


ตารางเวลาซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ช่วงเวลาที่เรียกว่า Pre-opening I … เป็นช่วงต้นวันครับ ช่วงนี้เป็นช่วงอภิสิทธิ์ของพวกที่ไม่ใช่ Cash Balance ของหิ่งห้อยแบบผม เป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 09:30 – T1 ซึ่ง T1 คือช่วงเวลาใดก็ตามตั้งต่ 09:55 – 10:00 ที่ถูกสุ่มขึ้นมา เพื่อปล่อยให้ส่งคำสั่งซื้อขายเขาไปในระบบ แล้วระบบจะนำคำสั่งซื้อขายพวกเนี้ย มาเรียงลำดับ และคำนวณหาราคาเปิดสำหรับการซื้อขายในช่วงเช้า
พูดง่ายๆ ช่วงนี้แหละ ตัวตัดสินว่าหุ้นตัวไหน ราคาเปิดตลาดจะเท่าไหร่ในแต่ละวัน

ช่วงเวลาที่เรียกว่า Trading Session I … กินเวลาตั้งแต่ T1 ไปจนถึง 12:30 ของแต่ละวัน เป็นช่วงเวลาแห่งหิ่งห้อยของเรา เราจะซื้อขายหุ้น ก็ช่วงเวลานี้แหละ สำหรับตอนเช้า … จากนั้น ได้เวลาพักเที่ยง ไปกินข้าวก่อน

ช่วงเวลาที่เรียกว่า Intermission … คือช่วงที่ตลาดหยุดพักการซื้อขายในช่วงกลางวันครับ ไปหาข้าวกินซะบ้าง อย่าหมกมุ่นอยู่แต่หน้าจอ … แต่ช่วงเวลาแบบนี้ ชาวหิ่งห้อยส่วนใหญ่ มักจะหมดไปกับการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าตั้งแต่เช้ามามีข่าวอะไรบ้าง ช่วงนี้มาร์บางคนอาจจะเริ่มส่งอีเมล์ข่าวสารต่างๆ ให้กับลูกค้าที่ตัวเองดูแลอยุ่ เพื่อจะได้เป็นข้อมูลช่วยตัดสินใจว่าจะซื้อจะขาย หรือจะเก็บไว้เก็งกำไรต่อ
สรุปแล้ว ชาวหิ่งห้อยได้พักบ้างป่ะเนี่ย

ช่วงเวลาที่เรียกว่า Pre-opening II … เริ่มตั้งแต่ 14:00 – T2 ซึ่ง T2 หมายถึง ช่วงเวลาที่ถูกสุ่มขึ้นมาตั้งแต่ 14:25 – 14:30 เพื่อรับคำสั่งซื้อขายทั้งหมดมาเรียงลำดับและคำนวณหาราคาเปิดสำหรับการซื้อ ขายในช่วงบ่าย … เช่นเคย เป็นช่วงเวลาแห่งอภิสิทธิ์ชนที่ไม่ใช่พวก Cash Balance อย่างเราๆ ท่านชาวหิ่งห้อย

ช่วงเวลาที่เรียกว่า Afternoon Trading Session … คือช่วงตั้งแต่ T2 – 16:30 เป็นช่วงของเราชาวหิ่งห้อยในรอบบ่าย ได้ซื้อขายหุ้นกัน

ช่วงเวลาที่เรียกว่า Call Market … เป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 16:30 – T3 ซึ่ง T3 คือเวลาที่ถูกสุ่มจากช่วง 16:35 – 16:40 เพื่อใช้เป็นเวลารับคำสั่งซื้อขายแบบสั่งลา (พวกคำสั่ง ATC = At the Close)  ทั้งหลายเข้ามา จะได้เอามาเรียงลำดับแล้วคำนวณหาราคาปิดตลาด … เช่นเคย ช่วงเวลาแห่งอภิสิทธิ์ชนที่ไม่ใช่ Cash Balance ครับ

ช่วงเวลาที่เรียกว่า Off-Hour Trading & Market Runoff Period … คือช่วง T3 – 17:00 ช่วงนี้งดรับคำสั่งซื้อขายแล้ว แต่ยอมให้ทำสิ่งเหล่านี้ได้ (ขอลอกจากเว็บ set.or.th มาเลยแล้วกัน)
1. บันทึกรายการซื้อขายภายใต้หลักเกณฑ์การซื้อขายหลักทรัพย์นอกเวลาทำการ (Off-hour Trading) โดยซื้อขายด้วยวิธี Trade Report เท่านั้น
2. ยกเลิกการซื้อขายหลักทรัพย์สำหรับการซื้อขายแบบ Trade Report ทั้งนี้การยกเลิกดังกล่าวต้องเป็นที่ยินยอมของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
3. แก้ไขเปลี่ยนแปลงประเภทบัญชีลูกค้า โดยสามารถแก้ไขได้ทั้งการ ซื้อขายแบบ Automatic Order Matching และ Trade Report

ตลาดปิดจริงๆ ตอน 17:00 … แต่สำหรับชาวหิ่งห้อยอย่างเราๆ ที่ใช้บัญชีซื้อขายแบบ Cash Balance นั้น ก็จะเริ่มได้ตอนราวๆ 10:00 – 16:30 โดยประมาณนั่นแหละครับ ไม่ต้องลุ้นเยอะ

วิธีการซื้อขายหลักทรัพย์ มันไม่เหมือนกับการขายของทั่วไปนะเออ

ข้อมูลจาก set.or.th บอกว่าวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์ มันมี  2 วิธีครับ คือ Trade Report และ Automatic Order Matching (AOM) ซึ่งแตกต่างกันตามนี้

Trade Report
วิธีนี้ออกแนวการตกลงซื้อขายสินค้าครับ ผู้ซื้อผู้ขายทำการเจรจาต่อรองราคากันแล้ว ถึงได้บันทึกรายการซื้อขายเข้ามาในระบบ มันถึงถูกเรียกว่า Trade Report  ไงล่ะ และเพราะการตกลงซื้อขายมันเรียบร้อยกันแล้ว เหลือแค่บันทึก ทางตลาดหลักทรัพย์เขาถึงได้ให้บันทึกได้ แม้จะปิดคำสั่งรับซื้อขายไปแล้วไง (ย้อนกลับไปอ่าน Off-Hour Trading & Market Runoff Period ซะ)
การซื้อขายแบบ Trade Report นี่ จะเป็นระหว่างโบรกเกอร์คนละราย หรือ โบรกเกอร์รายเดียวกันก็ได้ ไม่มีปัญหา

Automatic Order Matching (AOM)
เป็นวิธีที่หิ่งห้อยอย่างพวกเราต้องทำความรู้จัก เพราะมันคือวิธีการซื้อขายที่พวกเราต้องใช้ครับ … ผมว่ามันเหมือนหลักการของการประมูล และ การจับคู่อุปสงค์และอุปทานครับ
วิธีการนี้ ระบบจะรับคำสั่งซื้อขายจากผู้ซื้อและผู้ขาย โดยเรียงลำดับความสำคัญโดยมองที่ราคา แล้วจึงมองที่เวลา … กล่าวคือ ในกรณีของการซื้อ ใครเสนอราคามาสูงสุด ก็มีความสำคัญลำดับแรกๆ ถ้าราคาเสนอซื้อเท่ากัน ก็ดูว่าใครเสนอก่อนก็ได้ก่อน … ในกรณีของการเสนอขายก ใครเสนอขายต่ำสุด ก็มีความสำคัญลำดับแรกๆ และหากเสนอมาเท่ากัน ใครเสนอก่อนได้ก่อน
เช่น นาย A, นาย B และ นาย C เสนอซื้อหุ้น ABC ในราคา 10, 11 และ 11 บาทตามลำดับ แบบนี้แสดงว่า นาย A จะได้โอกาสซื้อหุ้นนี้ไปหลังสุด ส่วน นาย B กับ นาย C ก็ต้องมาวัดกันว่าใครส่งคำสั่งซื้อก่อน ก็ได้ไปก่อน
แต่อย่างที่ผมบอก มันจับคู่อุปสงค์กับอุปทานด้วย ดังนั้น แม้จะมีคนขอซื้อหุ้น ABC ที่ราคา 10 และ 11 บาทแล้ว หากไม่มีใครขายที่ราคานี้ ก็ไม่มีใครได้ซื้อไปครับ หากนาย D, นาย E และ นาย F ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น ABC เสนอราคาที่ 12, 12, และ 13 บาท ตามลำดับ ก็แสดงว่าอุปสงค์กับอุปทานไม่สอดคล้องกัน ไม่มีใครซื้อหรือขายได้ … อย่างน้อยก็จนกว่าคนเสนอขายจะลดราคาลง หรือ คนเสนอซื้อจะเพิ่มราคาให้
นี่เอาคร่าวๆ ก่อนนะครับ … จริงๆ มันยังมีเรื่องของจำนวนหุ้นอีก แต่ถ้าเขียนถึงตอนนี้ เดี๋ยวหิ่งห้อยจะอับแสงซะก่อน (ฮา) ในตอนหน้า ผมจะพาไปรู้จักกับ Bid/Offer กัน ถ้าไม่รู้จักเรื่องนี้ ยังซื้อขายหุ้นไม่ได้หรอกนะครับพี่น้องครับ


CREDIT นายกาฝาก(http://www.kafaak.com)
http://www.kafaak.com/2012/11/04/legend-of-firefly-03/

------------------------

ตำนานหิ่งห้อย บทที่ 4 สิ่งน่ารู้ก่อนทำการซื้อขาย (2)


Image courtesy of Watcharakun / FreeDigitalPhotos.net

วันนี้มีเวลานิดหน่อย หลังจากไปงาน HTC Blogger Day กลับมา (พร้อมของเล่นนิดหน่อย เดี๋ยวค่อยเอามาเขียนถึงในภายหลังนะ) ดังนั้น วันนี้จะขอเล่าเรื่อง Bid และ Offer ให้อ่านกันหน่อย … ถ้ายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็อย่าไปริเริ่มซื้อขายหุ้นเชียวล่ะพี่น้องครับ เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก อย่างแรกสุดเลย ก็อย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปก่อนหน้า ว่าการซื้อขายหุ้น มันไม่ใช่นึกจะซื้อก็ซื้อ นึกจะขายก็ขาย เพราะมันเป็นการพบกันของอุปสงค์และอุปทานครับ คือ เราตั้งใจจะขายในราคานี้  ก็ต้องมีคนอยากซื้อในราคานี้ด้วย การซื้อขายถึงจะเกิดขึ้นได้



ศัพท์น่ารู้ประจำบทนี้

วันนี้มีศัพท์ที่น่าสนใจดังนี้ครับ
นักลงทุนสไตล์ VI (Value Investor)
หมายถึงพวกนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือ จะไม่ได้มองแค่ราคาของหุ้นนะครับ แต่จะต้องทำการศึกษาหุ้นที่จะเล่นมาอย่างดี ดูทั้งพื้นฐานของหุ้น ลักษณะของกิจการ ทีมผู้บริหาร พวกข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อัตราที่ได้กำไรต่อผู้ถือหุ้น (EPS: Earning per Share), มูลค่าราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (Price per Book Value หรือ P/BV) อัตราผลตอบแทนแต่ละปี ฯลฯ
นักลงทุนสไตล์ Day Trade
พวกนี้เน้นทำกำไรกันรายวันครับ เทรดมันทุกวัน คอยจับตาดูกระดานหุ้นตลอด เขียว แดง จับจังหวะช้อนซื้อ จังหวะเทขาย … พวกนี้ต้องเน้นติดตามข่าวที่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อหุ้น อ่านกราฟเทคนิคต่างๆ เช่น MACD, RSI ฯลฯ

แนวรับ
หมายถึงราคาของหุ้น ที่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว มีแนวโน้มที่จะเกิดแรงซื้อเข้ามามากกว่าปกติ … หุ้น ABC ถ้ามีแนวรับที่ 3.00 บาท หมายความว่า หากราคาหุ้นลงมาแถวๆ 3.00 บาทแล้ว ก็น่าจะมีคนมาซื้อเก็บไว้เก็งกำไร เพื่อรอจังหวะหุ้นดีดกลับ เพราะเข้าใจว่าราคาหุ้นไม่น่าจะตกลงไปมากกว่านี้แล้ว และแรงซื้อนี้ก็อาจจะช่วยพยุงราคาหุ้นไม่ให้ตกไปมากกว่านี้

แนวต้าน
หมายถึงราคาของหุ้น ที่เมื่อขึ้นมาถึงจุดนี้แล้ว มีแนวโน้มที่จะเกิดแรงเทขายออกมากก่าปกติ … หุ้น ABC ถ้ามีแนวต้านที่ 4.00 บาท หมายความว่า หากราคาหุ้นขึ้นมาจนถึงแถวๆ 4.00 บาทแล้ว ก็น่าจะมีคนเทขายทำกำไร ซึ่งแรงซื้อนี้ก็อาจจะทำให้ราคาของหุ้นไม่ขึ้นไปสูงกว่านี้ด้วย
แต่ไม่ว่าจะแนวรับ หรือแนวต้าน ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะไม่ตกไปมากกว่านี้ หรือ จะไม่พุ่งทะยานไปมากกว่านี้นะครับ … ทั้งสองแนวนั้นเป็นแค่กำแพงในจินตนาการเท่านั้น … หากราคาหุ้นตกลงไปต่ำกว่าแนวรับ ก็จะมีความเป็นไปได้สูงที่จะตกลงไปอย่างต่อเนื่องได้ (เมื่อราคาทะลุแนวรับไปแล้ว ก็จะเกิดการคาดการณ์แนวรับขึ้นมาใหม่) เช่นกัน หากราคาหุ้นพุ่งทะลุแนวต้านไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง (เมื่อราคาทะลุแนวต้านไปแล้ว ก็จะเกิดการคาดการณ์แนวต้านใหม่เช่นกัน)

ราคาเสนอซื้อ (Bid) และ ราคาเสนอขาย (Offer)

เมื่อเราสนใจหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เราก็จะดูราคาของมันครับ ไม่ว่าจะใช้โปรแกรมอะไรดู มันก็จะมีหัวข้อว่า Last ซึ่งก็คือราคาล่าสุด หรือ ราคาตลาดของหุ้นนั้นๆ เราจะได้ไอเดียคร่าวๆ ว่า ณ ตอนนั้น หุ้นตัวนี้มีการซื้อขายที่ราคาเท่าไหร่ … แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องซื้อ หรือ ขายหุ้นตัวนั้นที่ราคานั้นครับ … ลองดูรูปด้านล่างนี่ก่อนครับ เป็นช่วง Open1 ที่รับคำสั่งซื้อจากโบรกเกอร์เข้ามาก่อน ราคาเลยขึ้นว่าเป็น ATO (At the Open)


หน้าจอดูรายละเอียดหุ้น และ Bid/Offer

ถัดมา จะเห็นเป็นแถวที่เรียกว่า Bid อีกแถวก็เป็น Offer … ถ้าเป็น Bid จะแสดงราคาเสนอซื้อสูงสุด 5 อันดับแรก ในขณะที่ Offer ก็จะเสนอราคาขายต่ำสุด 5 อันดับ … สีก็มีความหมายนะครับ ถ้าสีเขียวแสดงว่าราคานั้นสูงกว่าราคาเปิดตลาด ณ วันนั้น ถ้าเป็นสีเหลืองก็คือ ราคาเสมอตัว แต่สุดท้ายถ้าเป็นสีแดง แสดงว่าราคามันต่ำกว่าราคาเปิดตลาดครับ
ใครๆ ก็อยากให้มันสีเขียว จริงไหม? แต่จุดสำคัญที่สุด เราต้องพึงรู้ต้นทุนหุ้นของเราด้วยนะครับ เพราะเราอาจจะซื้อหุ้นมาเก็บตอนที่ราคาสูงกว่าราคาเปิดตลาดมาก ดังนั้นแม้จะเขียว แต่เราก็ยังขาดทุนอยู่นะ … หรือ ตัวเลขอาจจะแดงเถือก แต่หากคุณเคยซื้อไว้ที่ราคาต่ำกว่านี้เยอะ จริงๆ เราก็กำไรอยู่นะเออ ดังนั้น อย่าให้สีหลอกเราง่ายๆ ล่ะ
แต่เราต้องไม่ดูแต่ราคานะครับ … ต้องดูสิ่งที่เรียกว่า Vol.Bid (จำนวนหุ้นที่เสนอซื้อ) และ Vol.Offer (จำนวนหุ้นที่เสนอขาย) ด้วยนะครับ … อย่างที่ผมบอก มันคือการซื้อขายแบบการพบกันของอุปสงค์และอุปทาน ดังนั้น ไม่ใช่แค่ราคา แต่ต้องหมายถึงจำนวนด้วย


ดูแต่ราคาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องดูโวลุ่มด้วย

เช่น คุณอาจจะเสนอขายหุ้น 1,000 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 3.00 บาท … แต่หากมีคนเสนอซื้อที่ราคา 3.00 บาท แต่เสนอซื้อแค่ 100 หุ้น ก็เท่ากับว่าคุณขายได้แค่ 100 หุ้นเท่านั้น … อีก 900 หุ้น ยังขายไม่ออกนะครับ
นั่นหมายความว่า แม้คุณจะซื้อหุ้น ABC มาราคา 12.00 บาท พอเห็นราคาหุ้นมาที่ 17.00 บาท แล้วเกิดอยากขาย … แต่ถ้าไม่มีใครเสนอซื้อที่ราคาเท่านี้ คุณก็ขายไม่ได้ครับ … อีกกรณีหนึ่ง สมมติคุณเสนอขายหุ้น ABC จำนวน 1,000 หุ้น แต่ก่อนหน้านี้มีคนเสนอขายหุ้นเดียวกันนี้ที่ราคานี้ไป 1,000,000 หุ้น รวมแล้วเป็น 1,001,000 หุ้น แต่มีคนเสนอซื้อที่ 17.00 บาทรวมแล้วแค่ 100,000 หุ้นเท่านั้น ดังนั้น คุณก็ยังขายไม่ได้อยู่ดี (อย่างน้อยก็จนกว่าไอ้ 1,000,000 หุ้นก่อนหน้าจะขายได้หมด)
ศาสตร์ของการดู Bid/Offer เนี่ยสำคัญ คุณต้องคาดเดาได้ว่า ณ วันนี้ราคาน่าจะไปหยุดที่ตรงไหน เพื่อจะได้ซื้อได้ในราคาที่ถูกที่สุด (ณ วันนั้น) หรือขายได้แพงที่สุด (ณ วันนั้น) … สำหรับนักเล่นหุ้นแบบเน้นคุณค่า (พวก VI) ที่เน้นถือนานๆ ปันผลดี อาจจะไม่ซีเรียสมาก หากวันนี้ราคาไม่แจ่ม ก็ปล่อยไป เอาเวลาไปทำอย่างอื่น แต่สำหรับนักเล่นหุ้นแบบ Day Trade เนี่ย Bid/Offer นี่สำคัญนะครับ ดูกราฟิกเทคนิค พอจะรู้แนวรับแนวต้าน ก็ต้องคอยจับตาดูว่า Bid/Offer นี่ มันเข้าใกล้แนวรับแนวต้านหรือไม่อย่างไร

CREDIT นายกาฝาก(http://www.kafaak.com)
http://www.kafaak.com/2012/11/09/legend-of-firefly-04/

--------------------

 

ตำนานหิ่งห้อย บทที่ 5 สิ่งน่ารู้ก่อนทำการซื้อขาย (3)


อาจจะเห็นว่าผมไปเร็วเสียเหลือเกิน แต่ผมขอบอกก่อนว่า ในการเล่นจริงๆ นั้น มีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเล่นหุ้นด้วยนะครับ … ไม่จำเป็นต้องไปไล่ตามอ่านหนังสือจนหมด ตามอ่านจากเว็บจนเกลี้ยง … เอาแค่พอมั่นใจว่า สิ่งที่เราควรรู้นั้นเราได้รู้มากพอแล้ว … สำหรับความเห็นของผม เหล่าหิ่งห้อยอย่างเรานั้น สิ่งที่ควรต้องรู้ให้มากที่สุด คือ แนวคิดพื้นฐานที่สุดของการซื้อขายหุ้น ซึ่งก็คือสิ่งที่ผมพยายามย้ำตลอดนะครับ ว่ามันคือการจับคู่กันระหว่างอุปสงค์และอุปทาน นั่นคือ มีคนขายก็ต้องมีคนซื้อ และคนซื้อได้ซื้อไปในราคาที่อยากซื้อ  ส่วนคนขายก็ได้ขายไปในราคาที่พร้อมใจขาย (จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็เป็นอีกเรื่อง)



ศัพท์ใหม่ที่อยากให้รู้

จริงๆ แล้วเป็นศัพท์ที่ผมเชื่อว่าหากใครคิดจะเล่นหุ้น และอ่านปูพื้นฐานมาดีพอ คงจะรู้อยู่แล้ว แต่เอามาเขียนไว้ เผื่อไม่ทันได้รู้ ก็จะได้ฟังคนอื่นเขาพูดกันรู้เรื่องนะครับ

ติดดอย
หมายถึง ซื้อหุ้นมาแล้วหุ้นดันราคาตกลงไปจนขายแล้วขาดทุนเยอะมาก เลยไม่สามารถตัดใจขายได้ … มันเลยเหมือนขึ้นที่สูงไงล่ะครับ
เช่น หุ้น KAMPU เคยขึ้นไปราคาสูงสุด 700 บาท แล้วเราก็คิดว่ามันจะพุ่งไปต่อได้อีก เราก็เลยซื้อเอาไว้ แต่ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ทำให้ราคาหุ้นตกแบบดิ่ง จนลงมาเหลือ 375 บาท ตอนที่ราคาลงก็ดันไม่กล้าขายทิ้ง จนสุดท้ายมูลค่าหายไปมากกว่า 50% เลยไม่กล้าขาย แบบนี้เรียก ติดดอย
แต่ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่าแม้ชื่อจะเรียกว่าดอย แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะต้องสูงเสมอไปนะครับ ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้ได้
หุ้น NPUCK สนนราคา 0.03 บาท เลยซื้อไว้ล้านหุ้น (เป็นเงิน 3 หมื่นบาท) เพราะกะว่าราคาขึ้นเป็น 0.04 บาทก็ฟันกำไรเละแล้ว เพราะมันจะมีมูลค่า 4 หมื่นบาทในทันที แต่เหตุการณ์ดันไม่เป็นไปตามคาด เพราะหุ้นตกลงมาเหลือ 0.02 บาท ผลก็คือ ถ้าขายละก็ ขาดทุน 1 หมื่นบาทในบัดดล เมื่อขายไม่ได้ ก็คือติดดอยครับ … ดอยเตี้ยๆ ราคา 0.03 บาท/หุ้น ไม่ต้องไปซื้อตัวละหลายร้อยเลย
หรืออาจจะซื้อหุ้น NPUCK สนนราคา 0.03 บาท แต่ดันซื้อแค่ร้อยหุ้น คิดเป็นเงิน 3 บาท แต่ดันลืมไปว่ามีค่า Commission กับทางโบรกเกอร์อยู่อีก 50 บาท เท่ากับซื้อหุ้น 100 หุ้น แต่เสียเงิน 53 บาท ต้นทุนซื้อหุ้นอยู่ที่ 0.53 บาท/หุ้น แบบนี้ก็เรียกว่าติดยอดเขาพระสุเมรุเลยทีเดียว
ขายหมู
หมายถึง ดันขายหุ้นไปก่อนที่ราคาหุ้นจะไปสูงถึงขีดสุดแบบสุดๆ เช่น ซื้อมาหุ้นละ 20 บาท เห็นว่าหุ้นขึ้นไปเป็น 23 บาทแล้วก็จัดขายซะหมดพอร์ต แต่ปรากฏว่าวันต่อมา หุ้นพุ่งไป 27 บาทให้ช้ำใจเล่น แบบนี้เรียกขายหมู
ตกรถ
กรณีนี้คือ เมื่อจังหวะที่หุ้นตกมาจนถึงขีดสุดแล้วกำลังจะดีดตัวกลับไปเป็นขาขึ้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ไม่ได้ซื้อ (เช่น ไม่กล้าซื้อ ราคายังไม่ลงมาแบบถูกใจ หรือแม้แต่ไม่มีตังค์ซื้อ) สุดท้ายได้แต่มองดูราคาหุ้นมันขึ้นเอาๆ แต่จะซื้อก็ไม่ทันแล้ว เพราะมันจะเกิดความเสี่ยงว่าหากเป็นราคาสูงสุดแล้วมันไม่พุ่งต่อ ก็เท่ากับเราซื้อแพง และเสี่ยงขาดทุนเพราะหุ้นจะกลับมาเป็นขาลงอีก

รู้จัก Ceiling และ Floor กันซะหน่อย

เวลาซื้อขายหุ้น โดยเฉพาะพวกที่ราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ แนะนำว่าควรดูราคา Ceiling และ Floor เอาไว้หน่อยนะครับ … ราคาพวกนี้มีไว้เพื่อป้องกันการปั่นหรือทุบหุ้นครับ ทางตลาดหลักทรัพย์จะกำหนดไว้ที่ +/- 30% ของราคาปิดก่อนหน้าครับ


ราคา Ceiling กับ ราคา Floor มีไว้เพื่อป้องกันการปั่นและทุบหุ้น

ดังนั้น หุ้น SIRI ที่เห็น ราคาปิดก่อนหน้า 3.20 บาท เมื่อบวกเพิ่ม 30% ก็เลยทำให้ราคา Ceiling เป็น 4.16 บาท และราคา Floor เป็น 2.24 บาท นั่นหมายความว่า ราคาซื้อขายของวันนี้ ไม่สามารถสูงกว่า 4.16 บาท/หุ้นได้ หรือไม่สามารถต่ำกว่า 2.24 บาท/หุ้นได้เช่นกัน

เวลาซื้อขายหุ้น ต้องซื้อหรือขายคราวละเท่าไหร่?

การซื้อขายหุ้น ถ้าเป็นกระดานหุ้นหลัก มันไม่ใช่อะไรที่จะซื้อขายได้ทีละหุ้นสองหุ้นตามใจนะครับ … มันต้องซื้อขั้นต่อ 100 หุ้น และเป็นทวีคูณของ 100 ไป เช่น 200, 300, 400, 1000 หุ้น อะไรแบบนี้ … ถ้าจะซื้อทีละหุ้นสองหุ้น สิบหุ้น ยี่สิบหุ้น ไปกระดาษซื้อขายเศษหุ้นครับ
เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา คุณจะซื้อตัวละ 0.02 บาท 100 หุ้นก็ 2 บาท ก็ได้ แต่ให้ดูด้วยว่าโบรกเกอร์ของคุณคิดค่านายหน้าแบบตามจริง หรือมีขั้นต่ำ เพราะหากมีขั้นต่ำ ก็เท่ากับคุณจะซื้อหุ้นราคา 2 บาท แต่ต้องจ่าย 2 บาท + ค่านายหน้าหลายสิบนะครับ (ส่วนใหญ่จะ 50 บาท) แถมบวก VAT 7% อีก

การตั้งราคาหุ้น … อันนี้ก็ควรจะรู้ไว้นะ

ตลาดหลักทรัพย์เขามีการกำหนดช่วงราคาเอาไว้เรียกว่า Spread ครับ โดยพิจารณาจากราคาของหุ้นว่าหุ้นตัวละเท่าไหร่ … สังเกตให้ดี เพราะช่วยในการวางแผนซื้อขายหุ้นให้มีกำไรครับ เช่น พวกที่ต่ำกว่า 2 บาท จะเห็นว่าราคาขยับทีละ 0.01 บาทเท่านั้น ต้องมีซักหมื่นหุ้นอ่ะครับ กว่าจะกำไรทีละร้อยเมื่อมันขยับทีละช่อง (คำว่าช่องหมายถึงช่วงราคานั่นแหละ) แต่ถ้าเป็นพวกราคา 400 บาทขึ้นไป มันขยับทีช่องละ 2 บาท มีแค่ร้อยหุ้นก็พอแล้ว แต่ก็เท่ากับตอนลงทุนต้องลงทุนหนักพอสมควรนะ


ตารางช่วงราคาการซื้อขายหุ้น

แน่นอน เวลากำไรกำไรไม่มาก ก็หมายความว่าเวลาขาดทุนก็ขาดทุนไม่มากเช่นกัน มันอาจจะเป็นข้อดีก็ได้ (แต่ย้ำอีกเช่นเคย มันต้องในกรณีที่โบรกเกอร์ของคุณไม่ได้มีค่า Commission ขั้นต่ำเอาไว้นะ)
หุ้นตัวไหนที่ราคามันเฉี่ยวๆ จะเปลี่ยนช่วงของราคา ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เพราะเวลามันพุ่งขึ้นมันจะพุ่งปรี๊ดเร็วมาก เช่น พวกที่ต่ำกว่า 5 บาท จะขยับช่องละ 0.02 บาท แต่พอเป็น 5 บาทขึ้นไปปุ๊บ มันขยับทีละ 0.05 บาทแล้ว … ไอ้หุ้นที่ราคาใกล้เปลี่ยนช่วงราคาเนี่ยแหละ ทำคนตกรถได้ไวนักล่ะ … ลองคิดว่าหุ้นราคา 4.98 บาทปกติขยับช่องละ 0.02 บาท ต้องขยับตั้ง 5 ทีกว่าจะเป็น 0.1 บาท แต่พอราคามันขยับเป็น 5.00 บาทปุ๊บ ทีนี้ขยับสองทีก็ 0.1 บาทแล้ว เห็นไหมล่ะ ราคามันพลิกผันเร็วแค่ไหน

ไดอารี่ประจำวัน

จากนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะพยายามมาเขียน “หิ่งห้อยไดอารี่” ที่เป็น Spin-off ของ “ตำนานหิ่งห้อย” เพิ่มอีก โดยจะเป็นการเล่าสั้นๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นประจำวัน ในการเล่นหุ้นของผม ถือว่าเป็นการบันทึกประสบการณ์และสิ่งที่ผมเจอไว้อ่านเองด้วยในตอนหลัง และไว้แชร์ให้คนอื่นๆ ได้อ่านกันด้วยนะครับ
วันนี้ป่วยอยู่กับบ้าน กว่าจะตื่นมาก็ตลาดเปิดไปไหนต่อไหนแล้ว แอบตกรถ INTUCH ที่จะซื้อ 61.25 บาทซัก 200 หุ้นไป มาตั้งราคาขายช่วงบ่ายก็ไม่ทันแล้ว มันวิ่งไป 61.75 บาทซะแล้ว คงได้แต่ต้องปล่อยเลยตามเลยล่ะ … อาการดีขึ้นแล้ว พรุ่งนี้ไปทำงานได้ตามปกติ แต่ตลาดหุ้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น คงได้แต่มองดูกระดานหุ้นไปพลางๆ
จดหมายข่าวจากโบรกเกอร์บอกว่า ANANDA (ทำพวกคอนโด IDEO) จะขายหุ้นเพิ่มทุนพันกว่าล้านหุ้น ราคายังไม่ทราบแน่ชัด แต่ด้วยความที่อยากลองซื้อหุ้น IPO ดูบ้างซักครั้งในชีวิต เลยบอกมาร์ไปว่าเป็นไปได้ก็จองเผื่อไว้ให้ซัก 2 พันหุ้นด้วย
การซื้อหุ้น IPO นั้นหากโชคดี ได้ตัวที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย ราคาหุ้นอาจจะเพิ่มขึ้นได้สูงสุดถึง 3 เท่าตัวเลยในวันแรก (เป็นเพดานหุ้น IPO ที่ถูกกำหนดไว้) แต่ในขณะเดียวกัน หากราคา IPO มันถูกตั้งไว้สูงกว่าที่ใครต่อใครเขามองว่าควรจะเป็นเช่นนั้น ผ่านไปเรื่อยๆ ราคาอาจจะหล่นฮวบฮาบก็ได้เช่นกัน เหมือนที่ Facebook โดนไง เปิด IPO มา 38 เหรียญสหรัฐ แต่ตอนนี้เหลือ 23.56 เหรียญสหรัฐ (ราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2555)
ฉะนั้น จะซื้อหุ้น IPO นี่ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี และต้องดูให้ดีว่าธุรกิจนั้นทำอะไร มีแนวโน้มจะรุ่งแค่ไหน … แต่ที่สำคัญที่สุด ผมไม่แน่ใจว่าหุ้น IPO นั้น พวกหิ่งห้อยอย่างเรา ที่ซื้อทีละหลักพันหุ้นจะได้กะเขาไหม เพราะปกติเขาจะจัดสรรให้พวก Volume ใหญ่ๆ ก่อนเพื่อน พวกที่ซื้อทีเป็นหมื่นเป็นแสนหุ้นครับ

CREDIT นายกาฝาก(http://www.kafaak.com)
http://www.kafaak.com/2012/11/20/legend-of-firefly-05/


-------------------


    สรุปว่าที่ผมจองซื้อหุ้น IPO ของ ANANDA ไว้ อดฮะ ก็ทำใจไว้แล้ว เพราะรายย่อย (โคตรๆ) แบบผม ซื้อทีแค่ 2 พันหุ้น มันจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรไปแย่งกับพวกขาใหญ่ ซื้อที่เป็นล้านๆ หุ้นหรอก และนี่แหละ ที่สิ่งที่ทำให้คนรวยเขารวยต่อไปไง ซื้อหุ้นได้ในราคาเปิดตัว และหุ้น IPO ที่กระแสแรงๆ เนี่ย วันแรกมันเทรดที ราคาวิ่งชนเพดานเลยนะ (3 เท่าของราคาเปิดตัว) พูดง่ายๆ สมมติหุ้นละ 5 บาท ซื้อไว้ซักล้านหุ้น พอจบวัน ราคามันก็กลายเป็น 15 บาท กำไรเหนาะๆ หุ้นละ 10 บาท ถ้าขายได้หมดเนี่ย ลงทุนล้านนึงแค่วันเดียว ทำเงินได้ 10 ล้านบาทเลยทีเดียวนะเออ


ศัพท์ใหม่ที่อยากให้รู้

วันนี้เผอิญว่าศัพท์ใหม่ที่อยากให้รู้จัก มันเป็นอะไรที่ท่านผู้อ่านทั้งหลายควรได้รู้ก่อนทำการซื้อขาย ดังนั้น ก็ถือว่ามันเป็นเนื้อหาของตำนานหิ่งห้อยในบทที่ 5 ไปด้วยในตัวเลยก็แล้วกันนะครับ

Unrealized P/L
มาจากคำเต็มๆ ว่า Unrealized Profit/Loss ครับ หมายถึง กำไรหรือขาดทุน ที่เรายังไม่รับรู้ … ฟังแล้วงงๆ ป่ะ? ความหมายจริงๆ คือแบบนี้ เวลาเราซื้อหุ้นมา สมมติซื้อมาล้านหุ้น หุ้นละบาท เท่ากับเรามีต้นทุนอยู่ที่ 1 ล้านบาท ทีนี้หากวันต่อมา ราคาหุ้นมันตกลงมาเหลือ 0.80 บาท ก็เท่ากับหุ้นในมือเรา ที่เราซื้อมาล้านบาท ราคามันลงไปเหลือ 8 แสนบาท ถ้าเกิดเรายังไม่ต๊กกะใจรีบขายไปซะก่อน แบบนี้เขาเรียก มี Unrealized Loss อยู่ที่ 2 แสนบาทครับ แต่หากวันถัดมาหุ้นมันเกิดรีบาวด์กลับไปที่ 1.20 บาทต่อหุ้น ก็เท่ากับเรามี Unrealized Profit อยู่ที่ 2 แสนบาทอีกเช่นกัน
แนวคิดง่ายๆ เกี่ยวกับเรื่องของหุ้น คือ ตราบเท่าที่เรายังไม่ขายมัน จะกำไรหรือขาดทุน เราก็ยังไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น (แม้เราจะเห็นพอร์ตเขียวอี๋ หรือแดงเถือกก็ตาม) เราจะรับรู้กำไรหรือขาดทุนก็ต่อเมื่อเราขายหุ้นไปแล้วนั่นเอง
Cut Loss
จริงๆ ไม่ใช่ศัพท์ใหม่อะไรหรอกนะ ผมว่ามีใช้กันทุกวงการ เป็นไม้ตายนักลงทุน เพื่อหยุดยั้งการขาดทุนให้ไม่มากไปกว่านี้ เช่น หุ้น KAMPU (ขอยืมชื่อมาจาก maoinvestor.com ซะหน่อยนะครับ) ซื้อมาในราคา 700 บาท เพราะเห็นว่าเป็นหุ้นเด่น น่าจะไปได้สวย ราคาวิ่งมาตั้งกะไม่กี่ร้อย จนจะไปเป็นพันแล้ว และเราก็คาดว่าน่าจะไปถึงจุดนั้น แต่ด้วยสถานการณ์บางอย่า งทำให้ราคามันตกลงไป เหลือ 600 บาท ตรงนี้ใครมีหุ้นอยู่ในมือก็อาจจะขาดทุนไปเป็นหมื่นแล้ว ก็จะเกิดสถานการณ์วัดใจขึ้น คือ
  • ถ้าเกิดคิดว่าราคามันจะดิ่งลงมาไปกว่านี้ ก็ต้องทำการขายในราคา 600 บาท รีบขายซะ ทำ Cut Loss หรือ ตัดการขาดทุนให้หยุดอยู่แค่นี้ … ซึ่งถ้าเราตัดสินใจถูก ราคาหุ้นมันดิ่งไปมากกว่านี้ ก็เท่ากับเราไม่ต้องขาดทุนมากกว่านี้ไง
  • ถ้าเกิดตัดสินใจว่า นี่มันแค่อาการของนักลงทุนที่ต๊กกะใจกับข่าว เลยทำให้เกิดแรงเทขายมากเป็นพิเศษ ก็อาจจะตัดสินใจถือต่อไป ด้วยเพราะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่าราคาหุ้นมันยังกลับมาได้อีก
ผมไม่อาจแนะนำได้ว่า ควรทำไหม Cut Loss และควรทำเมื่อราคาหุ้นตกลงไปเท่าไหร่ … ของแบบนี้บอกแล้วไงว่าสถานการณ์วัดใจ ต้องติดตามข่าวให้ดีๆ หากเจออาการนี้ บางคนผมเห็นเจอ Unrealized Loss แค่ 10% ก็รีบชิง Cut Loss ไปแล้ว แล้วต้องมานั่งช้ำใจ เพราะราคาหุ้นมันรีบาวด์ไป และทำกำไรได้หลายตังค์ (หากยังถือครองต่อ)
แต่บางคนเขาก็เชื่อมั่นในหุ้นมาก แม้จะขาดทุนไปแบบ 45% แล้ว ก็ยังถือครองไว้ เพราะเชื่อว่าในระยะยาว หุ้นที่พื้นฐานดี มันจะดีดตัวกลับมาได้ และทำกำไรได้ แต่อาจจะต้องรอนานๆๆๆๆ พอสมควร … ก็บอกแล้วไง สถานการณ์วัดใจ … ไม่ต้องเอาอะไรมาก ADVANC นี่แหละ กลางเดือนพฤศจิกายน มันเริ่มวิ่งๆ ไปถึง 198 บาท ไปๆ มาๆ ราคาตกลงไป 6.50 บาท (เจอสถานการณ์ไม่แน่นอนของการประมูล 3G ละมั้ง) ตอนนั้นใครใจไม่แข็งพออาจจะขาย Cut Loss ไปก็ได้ แต่ใครจะรู้ว่าช่วงปลายเดือน มันจะวิ่งเอาๆ มาอยู่ที่ 220 บาทได้ล่ะ จริงแมะ



มีคนเคยบอกว่าแนวคิดของการเล่นหุ้นคือ Stop Loss and Keep Profit Runs  หรือ หยุดยั้งการขาดทุนและปล่อยให้กำไรมันวิ่งต่อไป … เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ทำยากมากๆ เลยครับ เพราะตอนหุ้นมันเกิดลงๆๆๆๆ เนี่ย ใจเราก็จะจมอยู่กับกับดักที่เรียกว่า Sunk Cost หรือ “ทุนจม” คือ เกิดรู้สึกคิดว่า เราไม่น่าจะคิดผิด และอาจจะถึงขั้นหลอกตัวเองว่าราคาหุ้นมันจะดีดกลับได้ จนสุดท้าย ดอยมันก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ตอนหุ้นมันขึ้นๆๆๆๆ เราก็จะรู้สึกว่ากำไรแล้ว รีบขายดีกว่า แล้วสุดท้ายก็ขายหมูไป เพื่อพบว่าราคามันวิ่งขึ้นไปได้เรื่อยๆ อีก (เช่น ในกรณีของ ADVANC นั้น พอซื้อมาที่ 191.50 แล้วเห็นราคามันวิ่งไป 203 แล้วก็อาจจะตัดสินใจขายทำกำไรเลย) แทนที่จะปล่อยให้กำไรมันวิ่งต่อ
ของแบบนี้ ต้องใจเย็นๆ และเรียนรู้กันไปครับ … หากเน้นการขายทำกำไร ไม่ว่าจะภายในวันเดียว หรือในเดือนเดียว อะไรแบบนี้ การหัดดูกราฟให้เป็นก็สำคัญนะ เพราะจะช่วยให้ประเมินราคาตอนซื้อหรือขายได้ครับ … แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องมีเทคนิคเป็นของตัวเอง อย่าไปเอาเทคนิคของคนอื่นมาใช้เป๊ะๆ เพราะเรากับเขาไม่เหมือนกัน ผลของการใช้เทคนิคเดียวกัน อาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ได้


ที่มา : http://www.kafaak.com/2012/12/03/legend-of-firefly-06/

---------------------

ตำนานหิ่งห้อย บทที่ 7 สิ่งน่ารู้ก่อนทำการซื้อขาย (5)

By  · December 14, 2012

Image courtesy of PinkBlue / FreeDigitalPhotos.net

 เมื่อคืนวานได้มีโอกาสไปร่วมปาร์ตี้กับทาง Google Thailand มา ได้คุยกับ @vasinp ผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ Provision เรื่องหนังสือต่างๆ และก็รวมไปถึงหนังสือหุ้น เพราะตอนนี้ก็รู้ๆ กันอยู่ ว่าผมกำลังลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ (เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ผมได้เอาเงินไปลงทุน ผมได้ความรู้เรื่องการลงทุน และผมยังได้เอาประสบการณ์พวกนี้มาสร้าง ตำนานหิ่งห้อย ให้ได้อ่านกันอีกไง) เลยทำให้รู้ว่า พี่วศินเขาไม่เล่นหุ้น เพราะเล่นไม่เป็น มันไม่ใช้สไตล์ของเขา … ฟังแล้วก็มีเหตุมีผลอยู่นะครับ โดยส่วนตัวผมเอง ผมก็คิดว่าก่อนจะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้น ควรค้นหาตัวเองก่อนดีกว่าว่า เราเหมาะสมกับการเล่นหุ้นแบบไหน แล้วพฤติกรรม หรือความพร้อมของเรามันโอเคไหม





อันดับแรก: คุณยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน?!?
ผมพูดถึงไปแล้วในภาคพิเศษ 1 ว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง แต่จะมากหรือน้อย และเสี่ยงในรูปแบบไหนก็เท่านั้นเอง … อย่างฝากเงินธนาคาร ความเสี่ยงก็อยู่ที่อัตราเงินเฟ้อมันแซงหน้าอัตราดอกเบี้ย (ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ ที่ว่า 3% มันก็ยังแค่สูสีกับอัตราเงินเฟ้อ) หรือจะทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ มันก็เสี่ยงตรงที่ต้องเอาเงินก้อนใหญ่ไปจมกับกรมธรรม์เป็นสิบปี เกิดอัตราดอกเบี้ยมันให้ผลตอบแทนสูงกว่า ก็ถือว่าเสียโอกาส (ขอบคุณ @vvsay สำหรับความรู้เรื่องความเสี่ยงของการทำประกันแบบสะสมทรัพย์ในสายตานักลงทุน)
แต่หุ้นมันจะเสี่ยงทั้งทุนหายกำไรหด (ถ้าหุ้นมันสาละวันเตี้ยลงๆ) แต่แน่นอน โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนมากๆ มันก็มี … แบบที่คนเขาพูดกันไงว่า “ใช้เงินไปทำงาน” … แต่  maoinvestor.com เคยกล่าวไว้ว่า “ใช้เงินไปทำงาน ก็อย่าลืมดูมันทำงานด้วย” เกิดไปไม่รุ่ง จะได้ Cut Loss ทันนะจ๊ะ

อันดับต่อมา: คุณคิดว่าอยากได้ผลตอบแทนแค่ไหนจากการลงทุนในหุ้น?!?
คุณรู้แล้วแหละ ว่าการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง … แต่มันก็เหมือนกับกองทุนอ่ะ มันก็มีหุ้นที่เสี่ยงมากและหุ้นที่เสี่ยงน้อยปะปนกันไป เพราะเฉพาะหุ้นสามัญก็มีปาเข้าไป 595 บริษัทแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2555 … ข้อมูลจะมีการอัพเดตทุกๆ วันแรกของสัปดาห์ ดังนั้นอยากรู้ต้องไปดาวน์โหลดมาดูเอา เองนะครับ) ดังนั้น คำถามต่อมาก็คือ แล้วเราอยากได้อะไรผลตอบแทนแค่ไหนจากการลงทุนในหุ้นล่ะ? เพราะนั่นจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณต้องเล่นหุ้นแบบไหน
ซึ่งนั่นอาจจะเหมาะ หรือไม่เหมาะกับจริตของคุณเลยก็ได้นะ … ซึ่งโดยปกติแล้ว เขาจะแบ่งวิธีการลงทุนออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ครับ คือ
  • นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) จะซื้อหุ้นตัวไหน ต้องศึกษาธุรกิจของบริษัทเจ้าของหุ้นนั้นๆ ดูพื้นฐานธุรกิจ ปัจจัยต่างๆ มากมาย … การลงทุนแบบใจเย็น เน้นผลระยะยาว แม้ราคาหุ้นจะผันผวนหวือหวาไปบ้าง แต่ถ้ายังเชื่อมั่นในพื้นฐานหุ้นตัวนั้น ก็จะไม่ตกอกตกใจ (แต่แน่นอน หากมันร่วงๆๆๆๆๆ ก็ต้องมี Cut Loss บ้างนะ) … ถ้าคุณจะเป็น VI คุณกำลังมองผลตอบแทนในระยะยาวประกอบกับเงินปันผลครับ นั่นคือ ลงทุนหุ้นเหมือนฝากเงินกินดอกเบี้ย เพียงแต่มันจะเป็นการฝากเงินไว้กับธุรกิจที่เติบโต และเงินต้นของคุณก็จะงอกเงยตามราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ก็ได้เงินปันผลมาเหมือนเป็นดอกเบี้ย และหากพื้นฐานของบริษัทดี มีเงินปันผลต่อเนื่องและสูงดี ก็มักจะได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอีก


งบการเงิน/ผลประกอบการ เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่พวก VI เขาใช้ในการพิจารณา

  • นักลงทุนแนวเทคนิค พวกนี้วิเคราะห์กันด้วยกราฟครับ พวกกราฟ MACD (อ่านว่า แม็คดี), RSI, เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, กราฟแท่งเทียน, STO ฯลฯ ซื้อหรือขาย ก็อาศัยจากสัญญาณที่กราฟบอกมา … นักลงทุนแนวเทคนิคเน้นทำกำไรระยะสั้น ซื้อ-ขายกันในวันนั้นเลย หรือไม่ก็ถือสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผลตอบแทนหลักๆ ก็คือ กำไรที่ได้มาจากการซื้อขายนี่แหละครับ ปันผลช่างหัวมัน … ถ้าเล่นแนวเทคนิคเก่งๆ จะทำเงินได้มากทีเดียว เพราะลองคิดง่ายๆ สมมติซื้อหุ้น ABC มาในราคา 10 บาทตอนเช้า ตอนบ่ายขายไปได้ 11 บาท เท่ากับกำไร 10% ภายในเวลาไม่ถึงวัน ซื้อไว้หมื่นหุ้น ก็เท่ากับทำเงินวันเดียวได้หมื่นนึงเลยนะเออ … แต่หากอ่านเกมไม่ขาด แล้วซื้อพลาด แถมหุ้นพื้นฐานไม่ดี ก็โดนกระอักเหมือนกันนะครับพี่น้อง


พวกเทคนิคเน้นดูกราฟครับ ตัดสินใจซื้อขายกันด้วยสัญญาณจากกราฟเลย

แต่มันก็เหมือนกับอีกหลายๆ อย่าง หลายๆ ทฤษฎีครับ คือ แม้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 2 วิธี 2 แนว ก็จริง แต่มันก็จะมีพวกที่แบบ สีเทาๆ ไม่ขาว ไม่ดำสนิท รวมเอาข้อดีของทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อกำจัดจุดอ่อนของกันและกัน … อย่างในกรณีนี้ก็คือ …
  • นักลงทุนแบบผสมผสาน พวกนี้เขาจะแบ่งเงินเป็น 2 กอง กองนึงไว้เล่นแนวเน้นคุณค่า สร้างรากฐานที่มั่นคงเอาไว้ ในขณะที่อีกกอง ก็เอาไว้เล่นแนวเทคนิค ทำกำไรระยะสั้น อารมณ์ประมาณหาค่าขนมกิน และหาทุนเพิ่มไว้ลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีอีก หรือบางคนอาจจะเลือกศึกษาหุ้นที่พื้นฐานดี เมื่อเลือกได้แล้ว ก็เอาเทคนิคในการดูกราฟมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกราคาหุ้นที่จะเข้าซื้อ แบบนี้ก็เป็นไปได้

อันดับสุดท้าย แต่สำคัญที่สุด … คุณมีเงินทุนแค่ไหน?!?
เคยมีคนแซวว่า เจอหุ้นดีๆ ที่น่าจะทำกำไรได้เยอะๆ ก็มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถมาซื้อเลย … อารมณ์เดียวกับซื้อหวย … แต่แบบนั้นไม่ใช่การลงทุนที่ดีเลยนะครับ … ผมไม่รู้ว่าหนังสือเล่มอื่นๆ เขาจะสอนยัง แต่สำหรับผม ผมมองว่าเงินที่ใช้ลงทุน ควรเป็นเงินเย็นที่เย็นสุดๆ เลยแหละ เพราะมันจะช่วยให้คุณไม่ต้องลุกลี้ลุกลนมาเวลาตลาดหุ้นเกิดความผันผวนขึ้นมา
ต่อให้เป็นนักลงทุนแนวเทคนิค เล่นกันแบบวันต่อวันก็เหอะครับ … เมื่อถึงเวลาที่ตลาดหุ้นมันย่ำแย่ แล้วต้อง Cut Loss ไป ทำกำไรก็ไม่ได้ อย่างน้อยๆ เราก็อยู่นิ่งๆ ได้ โดยไม่เสียหายหนักไปกว่านั้น แล้วรอจังหวะดีๆ ค่อยกลับเข้าไปใหม่ แต่หากไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อเล่นหุ้น คุณจะอยู่นิ่งๆ ไม่ได้นะ เพราะดอกเบี้ยมันวิ่งของมันไปตลอด
ฉะนั้น เย็นไว้โยม ใช้เงินเย็นเล่นหุ้นเหอะนะ อย่าให้ถึงกับต้องขายบ้านขายรถมาเป็นทุนเล่นหุ้นเล๊ย


ที่มา : http://www.kafaak.com/2012/12/14/firefly-diary-07/


----------------









ตำนานหิ่งห้อย บทที่ 8 การเล่นหุ้นออนไลน์ (1)


จริงๆ มันยังมีอะไรที่คุณควรรู้อีกเยอะครับ เกี่ยวกับเรื่องของการ ซื้อ-ขาย หุ้น แต่ว่าผมคิดว่าพวกนั้นเป็นสิ่งที่เราไปเรียนรู้เอากันทีหลัง หลังจากที่ลองเล่นกันก็ได้ … หุ้นไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวครับ ถ้าเราศึกษาบริษัทที่เราจะไปซื้อหุ้น ติดตามข่าว (และถ้าจะให้ดี หัดดูกราฟพวก EMA, RSI, MACD ให้เป็นบ้าง … อย่าเพิ่งงง เดี๋ยวผมมาสอนให้หัดดูกันแบบคร่าวๆ แน่นอน แต่ไม่ใช่ในตอนนี้) ของต้องห้ามสำหรับการเล่นหุ้นก็คือ “ความโลภ” ต่างหาก เพราะมันคือสิ่งที่จะทำให้คุณหลงกลพวก “เจ้า” ทั้งหลาย แล้วสุดท้าย หิ่งห้อยก็กลายเป็นแมงเม่าไปซะงั้น


แต่วันนี้ ผมจะขอมาพูดถึงการเล่นหุ้นออนไลน์ซะหน่อย เพราะเหตุผล 2 ประการครับ คือ
1) ผมเองก็ไม่เคยให้มาร์ฯ เขาเป็นคนบริหารการซื้อขายให้ เพราะผมงกอ่ะ (ให้มาร์ฯ จัดการให้ ค่านายหน้าจะแพงกว่า … ถ้าซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตเอง แถมเป็น Cash Balance นะ มันจะมีค่านายหน้าที่ถูกกว่ากันแบบเกือบเท่าตัว … 0.25% เทียบกะ 0.15% อ่ะ)
2) ซื้อขายแบบออนไลน์ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร และคนส่วนใหญ่ก็นิยมเล่นแบบออนไลน์ครับ ดูกราฟเอง เลือกหุ้นที่สนใจเอง ซื้อขายเอง ยิ่งเดี๋ยวนี้จะเล่นผ่านพวกโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตก็ได้อีกต่างหาก
เวลาจะเล่นหุ้นออนไลน์ เราต้องมีโปรแกรมในการเล่นครับ และในซีรี่ส์นี้ของ ตำนานหิ่งห้อย เราจะมาทำความรู้จักแต่ละโปรแกรมกัน ว่าเรามีทางเลือกอะไรกันบ้าง

ก่อนอื่น ให้รู้ไว้ว่าโบรกเกอร์ของคุณมีโปรแกรมไว้ให้ใช้อยู่แล้ว

ปกติโบรกเกอร์ที่คุณไปเปิดบัญชีด้วยเนี่ย เขาจะมีโปรแกรมให้คุณเอาไว้ใช้เทรดหุ้นอยู่แล้วครับ การใช้งานก็จะแตกต่างกันออกไป อย่างผม ใช้ KT-ZMICO เขาก็จะมีโปรแกรม ZNetXpress ไว้ให้ใช้ แต่ความวุ่นวายของโปรแกรมนี้คือ มันต้องการ ActiveX Control (ซึ่งเป็นอะไรที่เก่ามากๆ) นั่นหมายความว่าผมหมดสิทธิ์ที่จะใช้โปรแกรมนี้บนเครื่อง Mac เลย เพราะ ActiveX Control นี่มันต้องระบบปฏิบัติการ Windows เท่านั้น และเบราว์เซอร์ต้องเป็น Internet Explorer เท่านั้น (จริงๆ ใช้ Google Chrome ก็ได้นะ แต่ต้องใส่ Extension ชื่อ IE Tab เพื่อเอาเอนจิ้นของ IE มาเปิดบน Google Chrome)

โปรแกรม ZNetXpress ของ KT-ZMICO

ครับ … นั่นหมายความว่าหากต้องการใช้โปรแกรมที่โบรกเกอร์มีไว้ให้ใช้ คุณก็ต้องอ่านดูให้ดี ว่าเขาต้องการอะไรบ้าง ใช้เบราว์เซอร์อะไร หรือต้องติดตั้งโปรแกรมอะไรเป็นพิเศษไหม มันจะวุ่นวายแค่ไหน

จริงๆ แล้ว ง่ายที่สุดคือซื้อขายกันผ่านเว็บไซต์

ถ้าคิดว่าจะแค่ซื้อขายหุ้นเฉยๆ แค่เข้าไปที่เว็บไซต์www.settrade.com แล้วคลิกที่ “เข้าสู่ระบบซื้อขาย” จากนั้นก็กรอก Username และ Password และเลือกโบรกเกอร์จากรายชื่อ เพื่อล็อกอินเข้าไปเลย (Username และ Password เราได้มาตอนที่เราสมัครเปิดบัญชี แล้วบอกว่าจะเล่นออนไลน์ด้วยนั่นแหละ)

คลิกเพื่อล็อกอินเข้าสู่ระบบซื้อขายจากเว็บ settrade.com ได้เลย

หน้าตาของระบบซื้อขายง่ายๆ บนเว็บ มันจะเป็นแบบนี้ครับ … จะเห็นว่าจะมีโลโก้ของโบรกเกอร์ที่คุณใช้ ระบบจะบอกว่าคุณล็อกอินมาอัพเดตล่าสุดเมื่อไหร่ และไอ้ที่ผมเบลอๆ เพื่อเซ็นเซอร์ออกไป นั่นคือ Username ของคุณ (เลขที่บัญชีซื้อขายของคุณนั่นแหละ)

หน้าหลักของระบบซื้อขายของ Settrade

ที่หน้าหลักนี้จะมีข้อมูลโดยสรุปหลายๆ อย่างให้เราดูครับ ได้แก่ภาพรวมของตลาด ทั้งของ SET, SET100, SET50, SETHD, mai ฯลฯ ตลอดไปจนถึงยอดซื้อขายของลูกค้าตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นักลงทุนต่างชาติ (Foreign Investors), สถาบันในประเทศ (Local Institutes) ฯลฯ กราฟดัชนีระหว่างวัน, รายชื่อหุ้นที่มีการซื้อขายมากสุด, พวก Top Gainers (หมายถึงหุ้นบวกมากสุด) และ Top Losers (หมายถึงหุ้นลบมากสุด) อะไรพวกเนี้ย
เวลาจะซื้อขายง่ายครับ ดูที่ซ้ายมือ จะเห็นลิงก์ชื่อ Place Order ครับ คลิกที่นั่น ก็พร้อมจะซื้อขายได้เลย … สิ่งที่ต้องทำก็แค่
  1. ใส่ชื่อของหุ้นเข้าไปใน Enter Symbol แล้วคลิก Get Quotes เราจะเห็นราคาเสนอซื้อเสนอขายของหุ้นตัวนี้ (เอาไว้ใช้เป็นไอเดียว่าจะซื้อขายที่เท่าไหร่ดี)
  2. ชื่อของหุ้นจะไปปรากฏในส่วนด้านล่างของหน้าจอ … ที่เราต้องทำคือ ต้องเลือกว่าจะ ซื้อ (Buy) หรือ ขาย (Sell) ครับ จากนั้น ใส่จำนวนหุ้นที่ต้องการซื้อขายไปในช่อง Vol: แล้วก็ใส่ราคาที่อยากซื้อขายไปในช่อง Price: แล้วใส่ PIN ให้เรียบร้อย (PIN จะถูกกำหนดโดยเรานะครับ คล้ายๆ รหัส ATM เราต้องจำให้ได้นะ) แล้วคลิก Submit เท่านี้ก็เรียบร้อย

หน้าตาของหน้าจอซื้อขาย

Order ที่ส่งไปก็จะมาโผล่บนหน้าจอให้เห็นเลย … อย่างที่เห็น ผมสั่งขายไปตัวนึง จะมีเลขที่ Order โผล่ขึ้นมา พร้อมสัญลักษณ์ชื่อหุ้น (ขอเซ็นเซอร์ออกไปนะ) แล้วก็มีบอกด้วย ส่งคำสั่งซื้อขายไปเมื่อไหร่ ซื้อหรือขาย ที่ราคาเท่าไหร่ ที่จำนวนเท่าไหร่ แล้วสถานะเป็นยังไง (Queuing หมายถึงกำลังรอคิว Matching อยู่) และหากซื้อขายเรียบร้อย จะกลายเป็น Matched ครับ
ซื้อขายได้เท่าไหร่ จะมีบอกใน Credit (ปกติจะเป็น 0.00 บาท หากเราซื้อขายแบบ Cash Balance) และ Purchasing Power (จะมีตัวเลขขึ้นมาเมื่อเราโอนเงินเข้าไปที่โบรกเกอร์แล้ว และแจ้งบอกเขาเรียบร้อย … ตัวเลขที่ปรากฏ จะถูกหักออกนิดหน่อย ไว้สำหรับค่านายหน้าประจำวันนั้น … ตรงนี้ผมเหลือ 184 บาทแล้ว เพราะผมซื้อหุ้นไปหมดตัวแล้ว (ฮา)
เห็นแมะ ก้าวแรกของการซื้อขายหุ้น มันง่ายนิดเดียว … จริงๆ แล้วมันก็แค่การหัดใช้โปรแกมให้เป็นนั่นแหละครับ … ตอนหน้า ผมจะมาพูดถึง Streaming และ Streaming Pro บ้างละครับ